คุณค่าด้านเนื้อหา
๑) คำนมัสการพระพุทธคุณ มีเนื้อหาสำคัญคือ การสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า
โดยกวีได้กล่าวยกย่องพระพุทธเจ้าไว้ว่า ทรงพระพุทธเจ้าไว้ว่า
ทรงพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ
๑.๑) พระวิสุทธิคุณ คือ พระพุทธเจ้าทรงปราศจากกิเลส และไม่เกี่ยวข้องกับความมัวหมองหรือราคีใด ๆ
หนึ่งในพระทัยท่าน
ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคีบพันพัว
สุวคนธกำจร
๑.๒) พระกรุณาธิคุณ คือ พระพุทธเจ้าทรงมีพระกรุณามากมาย
เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร ทรงช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นจากกิเลสด้วยการแนะแนวในการดับทุกข์
เพื่อมุ่งไปสู่ความสุขอันแท้จริง คือ
พระนิพพาน
องค์ใดประกอบด้วย
พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร
มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์
และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน
อันพ้นโศกวิโยคภัย
๑.๓)พระปัญญาธิคุณ คือ พระพุทธเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณอันลึกซึ้ง
ทรงคิดค้นและทำความเข้าใจในทุกสิ่งที่ได้ทรงพบเสมอ
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล
ก็เจนจบประจักษ์จริง
พระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นผู้มีพระคุณแก่เราอย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ทรงแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงให้แก่มนุษย์
ทรงสั่งสอนให้มนุษย์กระทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว
และประทานหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มนุษย์ประพฤติตนในทางที่ควร
ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
๒.)คำนมัสการพระธรรมคุณ พระธรรม
คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้มีพระกรุณาแสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนสรรพสัตว์
เพื่อช่วยยกระดับจิตใจให้งดงามและทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
กวีจึงกล่าวสรรเสริญพระธรรมคุณว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความดี (คุณากร)
ที่ช่วยส่องทางสว่างให้แก่จิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ธรรมะคือคุณากร
ส่วนชอบสาธร
ดุจดวงประทีปชัชวาล
แห่งองค์พระศาสดาจารย์
ส่องสัตว์สันดาน
สว่างกระจ่างใจมนท์ ฯ
ดังนั้นพระธรรมจึงมีพระคุณต่อพุทธศาสนิกชน เนื่องจากการปฏิบัติตามหลักธรรมจะก่อให้เกิดประโยชน์และความสุขแก่ทั้งตนเองและสังคม
๓.) คำนมัสการพระสังฆคุณ ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้สถาปนาคณะสงฆ์ขึ้น หลักธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบจะสูญสิ้นไปพร้อมกับการปรินิพพาน
พระสงฆ์จึงมีบทบาทสำคัญและมีพระคุณโดยเฉพาะแก่พุทธศาสนิกชน
เพราะหากไม่มีพระสงฆ์ก็ไม่มีผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ดังที่กวีกล่าวสรรเสริญไว้ว่า
สงฆ์ใดสาวกศาสดา
รับปฏิบัติมา
แต่องค์สมเด็จภควันต์
สมญาเอารสทศพล
มีคุณอนนต์
อเนกจะนับเหลือตรา
๔.)คำนมัสการมาตาปิตุคุณ บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณแก่เราโดยตรง
เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ตั้งแต่เราเกิดมาท่านก็ให้ความรักความเมตตาเอาใจใส่ดูแลห่วงใยโดยบริสุทธิ์ใจ
คอยแนะนำตักเตือนชี้ทางที่ดีให้แก่เรา เมื่อเราทุกข์หรือเจ็บไข้ได้ป่วย
ท่านก็ทุกข์ด้วย แม้จะต้องทำงานด้วยความเหนื่อยยากก็ยอมสู้ทน
คุณค่าด้านกลวิธีการแต่ง
เนื่องด้วยความมุ่งหมายประการสำคัญ
ของพระยาศรีสุนทรโวหารในการประพันธ์คำนมัสการคุณานุคุณ คือ
การพรรณนานาคุณงามความดีที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา และครูอาจารย์มีต่อชนทุกชั้น ดังนั้น
ถ้อยคำที่กวีนำมาใช้จึงต้องแฝงความหมายที่ดีงาม และสามารถท่องจำได้โดยง่าย
เพื่อให้เยาวชนไทยได้ยึดถือเป็นแบบอย่างและซาบซึ้งไปกับเนื้อความซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องในทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีเนื้อหาที่ละเอียดลึกซึ้ง
แต่กวีก็สามารถพรรณนาถ้อยความและเลือกสรรถ้อยคำได้อย่างไพเราะจับใจ
และมีความดีเด่นในด้านกลวิธีการแต่ง ดังนี้
๑) การเลือกสรรคำเหมาะกับเนื้อเรื่อง
กวีเลือกสรรถ้อยคำนำมาใช้ได้อย่างไพเราะเหมาะสม โดยเฉพาะใน
บทนมัสการมาตาปิตุคณ และนมัสการอาจริยคุณ
ซึ่งเป็นการพรรณนาพระคุณของบิดามาดา และครูอาจารย์
เป็นการใช้คำง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง เช่น
ในบทนมัสการมาตาปิตุคุณที่ว่า
ฟูมฟักทะนุถนอม
บ บำราศนิราไกล
แสนยากเท่าไรๆ บ คิดยากลำบากกาย
ตรากทนระคนทุกข์ ถนอมเลี้ยง ฤ รู้วาย
ปกป้องซึ่งอันตราย
จนได้รอดเป็นกายา
กวีใช้คำว่า ฟูมฟัก ทะนุถนอม ตรากทน และถนอมเลี้ยง
ซึ่งเป็นคำที่ไพเราะอ่านเข้าใจและรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของบิดามารดาซึ่งคอยประคับประคอง
ระวังรักษา และเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงดูลูกด้วยความอดทนโดยไม่ได้คิดถึงความยากลำบากตั้งแต่ลูกเล็กจนเติบใหญ่
ในบทนมัสการอาจริยคุณที่ว่า
อนึ่งข้าคำนับน้อม
ต่อพระครูผู้การุญ
โอบเอื้อและเจือจุน อนุสาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
ยัง บ
ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอัตถ์ให้ชัดเจน
คำว่า การุญ โอบเอื้อ เจือจุน อนุสาสน์และ ขยายอัตถ์ ที่กวีสรรมาใช้ได้อย่างไพเราะ เพื่อแสดงถึงความรัก
และความเมตตาของครูอาจารย์ ที่เพียรพยายามสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนดีนั้น
ก่อให้เกิดความสำนึกและตระหนักถึงพระคุณของครูอาจารย์ได้เป็นอย่างดี
๒) การเลือกสรรคำที่มีเสียงเสนาะ กวีใช้คำให้เกิดความงามและเสียงเสนาะในการอ่านออกเสียงโดยการใช้สัมผัสอักษรและสัมผัสสระ
เป็นการเพิ่มคุณค่าและความไพเราะให้บทกวี ดังนี้
๒.๑ สัมผัส เนื่องจากการแต่งคำนมัสการคุณานุคุณ
มีข้อจำกัดในเรื่องฉันทลักษณ์ กวีจึงต้องคิดสรรคำที่มีความหมาย
ได้ใจความ และถูกต้องตรงตามเนื้อหาและลักษณะบังคับของคำประพันธ์ที่นำมาใช้
ซึ่งได้แก่ กาพย์ฉบัง๑๖ และโดยเฉพาะอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
เพราะนอกจากจะมีกฎเกณฑ์ในเรื่องจำนวนคำและสัมผัสแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องเสียงหนัก-เบาของคำหรือครุ-ลหุอีกด้วย
จึงจะสามารถสร้างสรรค์บทกวีให้มีความไฟเราะและสละสลวยได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องดังกล่าวข้างต้น
แต่พระยาศรีสุนทรโวหารก็สามารถเลือกสรรคำแล้วนำมาเรียบเรียงแต่งได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาและข้อบังคับทางฉันทลักษณ์
และยังเพิ่มระดับความไฟเราะ โดยอาศัยกลวิธีทางการประพันธ์
ซึ่งได้แก่ การเล่นสัมผัสใน
โดยเฉพาะสัมผัสอักษร เช่น
คำนมัสการพระพุทธคุณ
“สุวิสุทธสันดาน” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ส”คือ สุ-(วิ) สุทธ-สัน(ดาน)
“บมิหม่นมิหมองมัว” เล่นเสียงสัมผัสอักษร
“ม” คือ มิ- หม่น-มิ-หมอง-มัว
“ก็เจนจบประจักษ์จริง” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “จ” คือ เจน-จบ-(ประ) จักษ์-จริง
คำนมัสการพระธรรมคุณ
“ส่องสัตว์สันดาน” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ส” คือ ส่อง-สัตว์-สัน-ดาน
“พิสุทธิ์พิเศษสุกใส” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ส” คือ (พิ) สุทธิ์-(พิ) เศษ-สุก-ใส
“ข้อขอโอนอ่อนอุตมงค์” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ข” คือ ข้า-ขอ
เล่นเสียงสัมผัสอักร
“อ” คือ โอน-อ่อน-อุต (มงค์)
คำนมัสการพระสังฆคุณ
“สงฆ์ใดสาวกศาสดา” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ส” คือ สงฆ์-สา (วก) –ศาส-สะ
(ดา
คำนมัสการอาจริยคุณ
“อนสาสน์ทุกสิ่งสรรพ์” เล่นเสียงสัมผัสอักษร “ส” คือ (อนุ) สาสน์- สิ่ง-สรรพ์ เป็นต้น
๒.๒ การเล่นคำ การเล่นคำในคำนมัสการคุณานุคุณ โดยเฉพาะการเล่นคำซ้ำ
เป็นวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เนื้อความที่มีการซ้ำคำมีความหมายที่เด่นชัด
ได้รับการเน้นย้ำและแสดงให้เห็นถึงความสำคัญยิ่งมากขึ้น เช่น
คำนมัสการพระพุทธคุณ มีการซ้ำคำว่า “องค์ใด”
อันเป็นการเน้นหรือ
แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลสำคัญและทรงมีพระจริยวัตรที่ดีเด่นเป็นอย่างมาก
เช่น
“องค์ใดพระสัมพุทธ
สุวิสุทธสันดาล”
“องค์ใดประกอบด้วย
พระกรุณาดังสาคร”
นอกจากนี้ พระยาศรีสุนทรโวหาร
ยังซ้ำคำว่า “ชี้” เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครูผู้ชี้แนะแนวทางอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษยชาติ
คือ แนวทางอันเป็นการละเลิกกิเลศเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์
และมุ่งไปสู่ความสุขอย่างแท้จริง และถาวร คือ พระนิพาน
ชี้ทางบรรเทาทุกข์
และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพันโศกวิโยคภัย
การเล่นคำซ้ำที่ดีเด่นอีกคำหนึ่ง คือ คำว่า “ข้า” ในคำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันเป็นการแดสงหรือเน้นย้ำว่าผู้ท่องหรือผู้สวดได้ตระหนักในความสำคัญและนอบน้อมกาย
วาจา และใจ สำนึกและเคารพในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
คำนมัสการพระพุทธคุณ
ข้าขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร
คำนมัสการพระธรรมคุณ
ข้าขอโอนอ่อนอุตมงค์
นบธรรมจำนง
ด้วยจิตและกายวาจา
คำนมัสการพระสังฆคุณ
ข้าขอนบหมู่พระศรา-
พกทรกคุณา
นุคุณประดุจรำพัน
ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์
พระไตรรัตน์อัน
อุดมดิเรกนิรัติศัย
อย่างไรก็ตาม ยังมีการเล่นคำอีกอย่างหนึ่งซึ่งสื่อให้เห็นถึงความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำ
และแสดงให้เห็นว่ากวียังมีความรู้ความสามารถ
ในด้านภาษาและการประพันธ์เป็นอย่างมาก เช่น คำว่า
“เอารสทศพล”
สงฆ์ใดสาวกศาสดา
รับปฏิบัติมา
แต่องค์สมเด็จภควันต์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สมญาเอารสทศพล
มีคุณอนันต์
อเนกจะนับเหลือตรา
คำว่า เอารสทศพล แปลว่า
บุตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึง
พระสงฆ์มีที่มา จากคำว่า เอารสหรือโอรส ซึ่งแปลว่า บุตร และทศพล หรือ ทศพลญาณ
ซึ่ง หมายถึงพระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต ๑๐ ประการ
เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ประทานกำเนินพระสงฆ์ด้วยการอนุญาตให้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาภายใต้รุ่มกาสาวพัสตร์
อันเป็นการตัดชีวิตออกจากโลกแห่งกิเลศซึ่งเป็นโลกของปุถุชน เข้าสู่โลกแห่งพระธรรม
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเกิดใหม่ พระสงฆ์จึงได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
๓) ภาพพจน์ กวีใช้การเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น
เช่นการเปรียบพระคุณของบิดามารดาว่ายิ่งใหญ่กว่าภูเขาและแผ่นดิน
ดังความว่า
เปรียบหนักชนกคุณ
ชนนีคือภูผา
ใหญ่พื้นพสุนธรา
ก็ บ เทียบ บ เทียมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น